วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วัยรุ่นกับโทรศัพท์มือถือ


วัยรุ่นกับโทรศัพท์มือถือ


      ในยุคสมัยใหม่หรือบางคนก็กล่าวว่าเป็นยุคหลังสมัยใหม่ไปเรียบร้อยเมื่อนมนานแล้ว โทรศัพท์มือถือกลายเป็นวัตถุยอดนิยมที่เข้ามามีความสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่เป็นอย่างดาษดื่น เพื่อสร้างการติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วให้สอดคล้องกับระบบเวลาแบบอุตสาหกรรมและการไล่ทันแข่งขันกับผู้อื่น หรือการเอาชีวิตของมนุษย์ให้อยู่รอดในโลกนี้อย่างชาญฉลาดให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกอย่างรวดเร็ว
       แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าโทรศัพท์มือถือ ในฐานะวัตถุแห่งความทันสมัยนั้น แต่ละคนย่อมให้ความหมายที่แตกต่างกันและการให้เหตุผลของการครอบครองโทรศัพท์มือถือที่แตกต่างหลากหลาย แต่คนเรามักจะใช้สามัญสำนึกแบบตื้นเขินเข้ามาตัดสินคุณค่าของการถือวัตถุหรือการกระทำต่างๆ ด้วยการใช้ความคิดที่คับแคบกันอยู่หรือการคิดแบบตายด้าน จนทำให้เกิดการสร้างไม่ความเข้าใจระหว่างความสัมพันธ์ต่อกันและกัน จนนำมาสู่ปัญหามากมาย
       สำหรับในสังคมไทยยุคสมัยใหม่ วัยรุ่นกับโทรศัพท์มือถือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งของที่สามารถตีความเหตุผลและความรู้สึก เพื่อก่อรูปความเข้าใจกับความสัมพันธ์เชิงวัตถุนี้ได้ เราควรจะใช้ระบบความรู้และความคิดอยู่เป็นอย่างคณานับ แม้ว่าประเด็นนี้แลดูอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาก็ตาม แต่ความธรรมดาหรือความสามัญ ก็ใช่ว่าคนจะเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างรอบด้านและถูกต้องอยู่อย่างเสมอไป
      เรามิควรดัดจริตตามก้นความคิดแบบผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษาหลายๆท่าน (ไม่ใช่ทุกคน และมิได้หมายถึงว่าคนมีการศึกษาในความหมายที่กล่าวว่าจะคิดเป็นเสมอไป) กล่าวไว้ว่า การซื้อวัตถุโทรศัพท์มือถือให้กับเด็กวัยรุ่นนั้นหรือเด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่ใช่วัยรุ่นก็ตามนั้นเป็นการสร้างนิสัยแก่เด็กให้เป็นพวกฟุ่มเฟือย หรือจะเรียกให้เป็นวิชาการที่สวยงาม คือ ลัทธิบริโภคนิยมกำลังเข้าครอบงำอยู่ทุกอณูของชีวิตวัยรุ่นอยู่ ทำไมเขามองแบบนั้นเพราะว่า หลักการง่ายๆที่สุด คือ พวกเด็กวัยรุ่นเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง จะกล่าวให้ดีก็ควรกล่าวว่าพวกเด็กเมื่อวานซืนยังแบมือของตังค์ผู้ปกครองอยู่นั่นเอง
       นั่นกลายเป็นเหตุผลหลักๆที่สำคัญของการกล่าวอ้างเพื่อนิยมวาจาแบบผักชีเพื่อให้ตนดูดีและรอดตัวไปเพียงเท่านั้นเอง แต่เหตุไฉนเล่าที่ผู้ใหญ่กลับปากไม่ตรงกับใจเสียอย่างงั้น วาจาที่เอื้อนออกมาก็ดูงามที แต่สุดท้ายแล้ว พวกท่านทั้งหลายกลับจำต้องยอมแพ้พ่ายลัทธิบริโภคนิยม เพราะอะไรหรือก็เพราะว่า ถ้าจะสรุปเอาให้ดูดี แต่ก็มิใช่คำตอบสำเร็จรูป ก็ควรกล่าวว่าสังคมไทยมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน จะเอาหน้าให้รอหรือจะเร่งปลูกผักชีทั้งที ก็สมาทานทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นของชั้นสูง อันเข้าถึงได้ยากเข้ามาครอบครอง แต่ทุนนิยมกลับฉลาดเฉลียวที่ทำให้สินค้าของพวกเขาเข้าได้ทุกชนชั้นอาชีพ แม้ว่าสังคมโลกหรือสังคมไทยก็ตามยังดำรงชนชั้นอยู่มากก็ตาม
         เราอาจจะมองผิดไปที่เห็นบริโภคนิยมดูดกลืนมนุษย์ให้ตกเป็นทาสของลัทธินี้เข้าทุกที แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อคนเริ่มรู้จักการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น จะทำทุกอย่างเพื่อให้เท่าทันกับเวลาแบบใหม่ที่เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการมองเวลาเป็นเชิงก้าวหน้า การนับถอยหลัง เพื่อเป้าหมายความสำเร็จที่เติบใหญ่กว่าเดิม
          ดังนั้น วัยรุ่นก็เช่นกันที่มีโทรศัพท์มือถือนั้น ก็มีผู้ปกครองที่ทำงานจนหลังอาน ไม่มีเวลาให้ลูกหลานเหมือนสมัยเก่าก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ การทดแทนความรักก็ถูกสื่อด้วยการใช้วัตถุสื่อเป็นสำคัญ หรือถ้าจะกล่าวให้ดี พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นทั้งหลาย (หรือแม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่ยังกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นหรือยังเป็นเด็กเมื่อวานซืน) กลัวบุตรหลายของตนจะน้อยหน้ากว่าเพื่อนของเด็ก กลัวเด็กน้อยใจ กระจองอแงและแล้วนั้นพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ทนความไม่เท่าเทียมอยู่ไม่ไหวนั้นเอง จึงตอบแทนด้วยการซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกใช้กันอย่างาดาษดื่น
        ตัวอย่างของการเห็นและเข้าใจวัยรุ่นกับโทรศัทท์มือถือ เช่นว่า เด็กวัยรุ่นยุคนี้เรียนหนังสือกันจนจะอาเจียน ไหนจะทำงาน ทำการบ้าน ไหนจะสอบจนตาแทบลาย เวลาไม่เคยเว้นว่างให้เขามีพื้นที่และเวลาเข้าผูกพันอยู่กับความสดใสมากนัก นี่คือ เด็กเรียน ส่วนเด็กไม่เรียนก็จะสดใสสนุกสนานมากกว่าการจริงจังกว่าการเรียน ไม่ว่าจะจริงจังหรือจะสดใส อารมณ์ใดก็ลงเอยด้วยหยิบมือถือกดเข้าไปหาเพื่อน ให้ทำงานให้เสร็จ เร่งงานการบ้านที่อาจารย์สั่งให้เสร็จโดยไว หรือมีปัญหากับแฟนหรือกับผองเพื่อน เด็กหลายคนกลัวความอาวุโส ก็โทรคุยกับเพื่อนนั้นแหละ แล้วไง ก็ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเขานั้นไม่ถูกกดทับจนอัดความเครียดให้แน่นหนักและโทรศัพท์มือถือก็ช่วยผ่อนคลายภาระการงานหรือชีวิตส่วนใหญ่ของเด็กวัยรุ่นหลายประการ
       จากตัวอย่างข้างต้นที่กล่าวไป คงจะพอช่วยชี้ทำให้เกิดความเข้าใจบ้างต่อเด็กวัยรุ่นว่าการใช้มือถือก็ถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในชีวิตของเขา สำหรับในทัศนะของผมนั้น ผมก็คิดว่าแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน เราจะเอาบรรทัดฐานของเรา ที่ผมมักมองว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็นหรือเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ก็จะเอาไปตีขีดเส้นความคิดคนอื่นเขาไม่ได้ หรือจะไปห้ามให้ผู้ปกครองห้ามซื้อมือถือให้เด็กหรือเด็กที่มีปัญญาซื้อมือถือก็ไม่ควรซื้อ อย่างนี้ก็ไม่ได้นะ แต่ว่าถ้าจะมองบริบทและช่วงวัยนั้น ผมเห็นว่าเด็กวัยรุ่นก็ไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือแบบถลุงเงินผู้ปกครองอย่างหนักหน่วง ควรรู้จักมัธยัสถ์นิยมบ้าง ไม่ใช่ไม่เป็นเรื่องคุยจำเป็นก็ดีดักจะเอาแต่โทรไปตลอดเวลา แต่ควรจะโทรในธุระที่จำเป็นหรือเป็นเหตุผลจำเป็นที่ควรโทรจริงๆ พูดง่ายๆก็คือ โทรคุยเท่าที่จำเป็นและสำคัญจริงๆ หรือจะให้ดีก็ควรทำงานหาเงินเพื่อลดเบาภาระกระเป๋าตังค์ของคนที่อุปถัมภ์ดูแลคุณอยู่!
        จริงอยู่ว่าโทรศัพท์เป็นอำนาจอย่างหนึ่งในแง่ของการสื่อสาร เมื่อระบบเวลายังเร่งเร้าให้ชีวิตของคนในสังคมเกิดความเครียด หากว่าโทรศัพท์มือถือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความสอดคล้องจำเป็นกับภาระอันหนักอึ้งไปได้ แม้ว่าผู้ใหญ่บางท่าน ผู้ใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือนั้นดีกว่าเด็กใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเพียงจะอ้างเอาว่าให้รายได้ในมือเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าคุณรับจ้างตัดหญ้า คุณไม่มีเบอร์โทรศัพท์มือถือ ก็ขาดลูกค้า ถ้ามีเบอร์โทรติดต่อ ก็จะทำให้จัดคิวผู้จ้างคุณได้ง่าย เป็นต้น ก็คงจะเอาส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใหญ่มาเทียบอ้างกับเด็กวัยรุ่นไม่ได้ ถ้าคุณยังกลัวเด็กน้อยหน้าคนอื่น กลัวมีไม่เท่าเทียมคนอื่น ก็อย่าเอ่ยปากมาดีกว่า พูดไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ ควรจะเข้าใจก่อน แล้วสร้างกรอบคิดและกรอบการใช้โทรศัพท์มือถือให้เกิดประโยชน์และรู้จักมัธยัสถ์อย่างแท้จริง
          ยิ่งถ้าจะกล่าว่วถึงตัวผม ในบริบทสังคมในมหาวิทยาลัย พื้นที่ที่อุดมไปด้วยคนชั้นกลางไฟแรง ก็ยิ่งควรพิจารณาพื้นที่ของเมือง ซึ่งมหาวิทยาลัยของไทยส่วนมากก็อยู่ในสังคมเมืองแบบใหม่กันทั้งนั้น บางคนก็เป็นเด็กในเมือง บางคนก็มาจากบ้านอก จากบ้านจากเมืองมาก็ไกล เหงาคิดถึงบ้านก็โทรคุยกับคนในครอบครัว มีเพื่อนบางคนผมบอกกับผมว่าโทรศัพท์มือถือจำเป็นมากสำหรับชีวิตเขา เกิดพ่อแม่เป็นอะไรมา ไม่สบายขึ้นมา หรือถ้ามีธุระอย่างอื่นๆก็จะได้ติดต่อกันอย่างรวดเร็ว เช่น ถ้านักศึกษาจะขอรับทุนการศึกษา จำเป็นต้องใชหลักฐานที่สำคัญของผู้ปกครอง ก็จะได้รีบเร่งด่วนโทรมา เพื่อให้ทันเวลากำหนดส่งใบขอรับทุนการศึกษา เป็นต้น นอกจากนั้น ก็เป็นเหตุผลธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ทั่วไปของวัยรุ่นที่ใช้มือถือกันอยู่ทั่วไป ซึ่งไม่ควรกล่าวแบบวัตถุช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับผู้ใช้แต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็จริง แต่ก็ต้องจำเป็นพิจารณาให้รอบด้านด้วย
         ดังนั้น วัยรุ่นกับโทรศัพท์มือถือจึงไม่ใช่เรื่องของความฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่ควรพิจารณาจากสิ่งที่กล่าวมาและสิ่งที่ผมยังมิได้กล่าวถึง ซึ่งยังมีอีกจำนวนมาก แต่เพื่อสร้างภาพความเข้าใจและความคิดแบบคร่าวๆคงจะพอทำให้ผู้อ่านได้ความคิดเพิ่มขึ้นและรู้จักเจนกับความใจกว้าง ไม่ใช่บีบอัดหนทางและสาดๆด่าๆว่าฟุ่มเฟือยแต่เพียงอย่างเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น